Testimonials FAQ Photo Gallery Contact Us Mail to Friend
Home Director Training Seminars & events News Join IOD IOD Members Projects Publications IOD Shop About IOD
Climate Governance: What Now (and What Next) for Directors? (Part 1/2)

ปัจจุบัน เราเริ่มเห็นความเชื่อมโยงกันระหว่าง “การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ” (Climate Change) กับ “การดำเนินธุรกิจ” เด่นชัดมากขึ้นทุกที การตัดสินใจทางธุรกิจอาจเป็นได้ทั้ง “ตัวเร่ง” และ “ตัวชะลอ” ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้อย่างมีนัยสำคัญ ...ในขณะเดียวกัน Climate Change ก็นำมาซึ่ง “ความเสี่ยง” และ “โอกาส” ใหม่ๆ ให้ธุรกิจได้จับตามองอยู่เสมอ (Climate-related Risks & Opportunities)

นอกจากนี้ ปรากฏการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เป็นเสมือน Red Flags ที่ส่งสัญญาณเตือนให้คณะกรรมการทราบอยู่เป็นระยะๆ ว่า ประเด็น Climate Change นั้นเป็นเรื่องที่องค์กรจะทำเป็น “ไม่รู้ไม่ชี้” ต่อไปไม่ได้แล้ว ตัวอย่างเช่น

     🔹   บริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าของสินค้าอุปโภคบริโภคแบรนด์ดังๆ ถูกจ่อคิวดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตที่สร้างมลภาวะและทำลายสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

     🔹   การเคลื่อนไหวของผู้ถือหุ้น (Shareholder Activism) ที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการเรียกร้องและผลักดันให้บริษัทต่างๆ เร่งสร้างมาตรการเพื่อรับมือกับปัญหา Climate Change อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
 
     🔹   การประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติครั้งที่ 26 (COP26) ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสก็อตแลนด์ เมื่อปลายปี 2021 ที่มีผู้นำกว่า 196 ประเทศทั่วโลกตบเท้าเข้าร่วมหารือแนวทางจัดการปัญหา Climate Change โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) ภายในปี 2050 และจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส พร้อมกับการประสานความร่วมมือไปยังภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกับภาครัฐอย่างจริงจัง

     🔹   ค่านิยมและทัศนคติของคนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กลุ่มคนรุ่นใหม่” ที่มีความตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อนมากกว่าคนรุ่นเก่า และแสดงออกมาอย่างชัดเจนผ่านพฤติกรรมการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน เช่น การสนับสนุนและการเลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น เป็นต้น

วิวัฒนาการและการแปรผันของค่านิยม / ทัศนคติดังกล่าว ย่อมนำไปสู่การเกิดขึ้นของบรรทัดฐานใหม่ๆ ในสังคม ประเด็นนี้...ถึงกับมีการคาดการณ์กันเลยทีเดียวว่า “ในอนาคต...การลงทุนในบริษัทที่ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม...ก็เหมือนการลงทุนในบริษัทที่ไม่ได้เปิดเผยงบดุลในรายงานประจำปี” และในท้ายที่สุด ...บรรทัดฐานเหล่านี้ก็จะถูกนำไปใช้เป็นกรอบแนวคิดของการร่างกฏระเบียบ ข้อบังคับ หรือมาตรฐานด้านมลภาวะ / สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ที่จะมาบังคับใช้กับธุรกิจทั้งหลายในอนาคต

คำถามในวันนี้... จึงไม่ใช่ “Climate Change ควรถูกผนวกเข้าไปอยู่ในเป้าหมายระยะยาว หรือกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจหรือไม่ ?” หากแต่เป็น “องค์กรจะมีกลไกหรือแนวทางในการรับมือกับประเด็น Climate Change อย่างไร ?” มากกว่า ...ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นแรงขับเคลื่อนให้คณะกรรมการบริษัทต้องหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวอย่างจริงจัง ด้วยการติดตามดูแลให้มั่นใจว่า ความเสี่ยงทางธุรกิจที่มาพร้อมกับ Climate Change นั้นถูกบริหารจัดการอย่างเหมาะสม ทันท่วงที และมีประสิทธิภาพ

เมื่อพูดถึง “ความเสี่ยง” ...ผู้เขียนจึงขอถือโอกาสนี้ ฝากประชาสัมพันธ์ให้กรรมการทุกท่านทราบว่า สถาบันกรรมการบริษัทไทยได้จัดทำ “แนวปฏิบัติที่ดีสำหรับคณะกรรมการด้านการบริหารความเสี่ยงเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านสามารถ Download แนวปฏิบัติฯ ดังกล่าวได้ที่ https://forms.gle/r4FHT3PJytVJMDbk9 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ...หวังว่าเอกสารฉบับนี้จะช่วยสนับสนุนงานกำกับดูแลความเสี่ยงด้าน Climate Change ขององค์กรท่าน (ไม่มากก็น้อย) นะครับ

การหยิบยกเอา Climate Change มาวิเคราะห์ในมิติของความเสี่ยง น่าจะเป็นเรื่องใหม่ที่คณะกรรมการหลายบริษัทอาจไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าใดนัก ดังนั้น เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น บทความนี้จะขออธิบายความเสี่ยงทางธุรกิจที่มาพร้อมกับ Climate Change ใน 3 รูปแบบหลักๆ ได้แก่ ความเสี่ยงเชิงกายภาพ (Physical Risk) ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transitional Risk) และความเสี่ยงด้านความรับผิด (Liability Risks)

    🔹   ความเสี่ยงเชิงกายภาพ (Physical Risk) คือความเสี่ยงจำพวกหายนภัยทางธรรมชาติที่ปรากฏในรูปแบบต่างๆ เช่น น้ำท่วม พายุเฮอร์ริเคน ไฟป่า ภัยแล้ง สภาพอากาศแปรปรวน ฯลฯ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อชีวิต สินทรัพย์ หรือส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างชัดเจน กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงประเภทนี้ค่อนข้างสูง ได้แก่ ธุรกิจการเกษตร ธุรกิจการท่องเที่ยว เป็นต้น
   
    🔹   ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risk) หมายถึงความเสี่ยงที่เป็นผลพวงมาจากการมาถึงของนโยบาย กฏระเบียบ ข้อบังคับใหม่ๆ ที่ถูกร่างขึ้นมาเพื่อรับมือกับปัญหา Climate Change ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและมุมมองของผู้บริโภคที่เห็นว่า การคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นองค์ประกอบหนึ่งของจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ การเปลี่ยนผ่านเหล่านี้อาจเป็นไปได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินทรัพย์และต้นทุนทางธุรกิจของบางอุตสาหกรรมในท้ายที่สุด ตัวอย่างเช่น กลุ่มธุรกิจพลังงาน (Energy Sector) ที่กำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้านในการปรับกระบวนการผลิตเพื่อตอบสนองเทรนด์ “พลังงานสะอาด” และ “การใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์” (Net-Zero Emission) หรือกลุ่มธุรกิจเหมืองแร่ (Mining Sector) ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและวีธีการจัดเก็บภาษีคาร์บอนในบางประเทศ เป็นต้น

    🔹   ความเสี่ยงด้านความรับผิด (Liability Risk) หมายถึง ความเสี่ยงจากการที่กิจการไม่สามารถปฏิบัติตามนโยบาย กฏระเบียบ ข้อบังคับใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็น Climate Change ได้อย่างครบถ้วน ความเสี่ยงนี้เป็นผลมาจากวิวัฒนาการทางสังคม ข้อพิพาททางกฎหมาย ตลอดจนเป้าประสงค์ของทั้ง “หน่วยงานกำกับดูแล” และ “กลุ่มนักลงทุน” ทั่วโลก ที่หันมาให้ความสำคัญและต้องการผลักดันให้กิจการนำประเด็นดังกล่าวไปเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจทางธุรกิจในกรณีต่างๆ มากขึ้น

ปรากฏการณ์นี้ก่อให้เกิดการแตกกิ่งก้านสาขาของศาสตร์ด้าน “การกำกับดูแลกิจการ” ออกมาเป็นอีกแขนงหนึ่ง หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า Climate Governance อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวดูจะไม่ใช่ “งานง่าย” สำหรับคณะกรรมการเลย เพราะนอกจากจะเป็นประเด็นที่ค่อนข้างใหม่แล้ว ยังเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและต้องอาศัยองค์ความรู้จากหลายแขนงมาบูรณาการกัน ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หรือแม้แต่รัฐศาสตร์ ทั้งยังมีความไม่แน่นอนสูง คาดคะเนได้ยาก และมี Time Span ของการแสดงผลกระทบที่อาจยาวนานนับทศวรรษ (หรือมากกว่านั้น)

แม้จะมี Time Span ที่ยาวนาน... แต่หลายฝ่ายมองว่า Climate Governance คงไม่ใช่เรื่องที่สามารถ “รอได้” อีกต่อไป เพราะผลกระทบของ Climate Change เริ่ม “ออกอาการ” ให้เห็นแล้วแบบ “ไม่ต้องรอ” ...ซึ่งนั่นเท่ากับว่า การกำกับดูแลในประเด็นนี้ คณะกรรมการต้องคำนึงถึงทุกๆ มิติเวลาไปพร้อมๆ กัน ...ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

เมื่อกล่าวถึงการกำกับดูแล (Governance) ...2 องค์ประกอบสำคัญที่จะขาดเสียไม่ได้ ก็คือ 1) นโยบายต่างๆ (Policy) ที่จะต้องถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นกรอบ / แนวทางในการบริหารจัดการในเรื่องดังกล่าว และ 2) โครงสร้างและองค์ประกอบของคณะกรรมการ (Board Structure & Composition) ที่จะต้องถูกออกแบบให้มีศักยภาพเพียงพอที่จะสอดส่องดูแลและตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เชื่อว่าองค์ประกอบสำคัญทั้งสองนี้ปรากฏอยู่แล้วในแทบทุกกิจการ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทขนาดใหญ่ หรือบริษัทจดทะเบียน) ทว่าอาจยังไม่ได้ออกแบบมาให้สามารถ Address ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ Climate Change ได้อย่างเป็นรูปธรรม ผลที่ตามมาคือ...แม้ว่าโลกธุรกิจจะตื่นตัวและมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับการรับมือปัญหา Climate Change มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังพบว่า มีคณะกรรมการบริษัทจำนวนไม่น้อยที่ยังคงเผชิญความยากลำบากในการพยายามทำความเข้าใจกับประเด็นนี้อย่างถ่องแท้ จนทำให้ไม่สามารถระบุความเสี่ยง (และโอกาส) ที่มาพร้อมกับ Climate Change ได้อย่างชัดเจนและครอบคลุมเพียงพอ ...ปัญหานี้เกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่
 
    🔹   ภาระเยอะ vs. เวลาจำกัด - คณะกรรมการมีภาระ หน้าที่ และความรับผิดชอบในการติดตามดูแล “ประเด็นเชิงกลยุทธ์” มากมาย เช่น พลวัติภายในอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การปรากฏตัวของคู่แข่งที่มาพร้อม Business Model รูปแบบใหม่ๆ ความผันผวนของเศรษฐกิจ ภัยคุกคามทางไซเบอร์ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่หยิ่งหย่อนไปกว่าประเด็น Climate Change …ส่งผลให้บางครั้ง คณะกรรมการอาจไม่สามารถอุทิศเวลาอย่างเพียงพอสำหรับการติดตามดูแลแบบ “ลงลึก” ในทุกๆ ประเด็นที่กล่าวมาได้


    🔹   ตัวแปรมาก vs. ข้อมูลน้อย - Climate Change เป็นประเด็นเชิงระบบ (Systemic) ที่มีความซับซ้อนและทำความเข้าใจได้ยาก ทั้งยังมีความหลากหลายของรูปแบบความเสี่ยง (ดังกล่าวแล้วข้างต้น) ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และอาจไม่ได้ปรากฎให้เห็นอย่างเด่นชัดในบางอุตสาหกรรม กอปรกับมีตัวแปรหลายอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เทคโนโลยี กฏระเบียบต่างๆ ฯลฯ จึงทำให้การคาดการณ์และการบริหารจัดการในเรื่องนี้ มีความยากลำบากและท้าทายเป็นอย่างยิ่ง

    🔹   ปัญหาระยะยาว vs. มุมมองระยะสั้น - คณะกรรมการอาจไม่ได้มอง “ยาว” และ “ไกล” พอ กล่าวคือ มักมุ่งรับมือกับแรงกดดันระยะสั้น / การทบทวนแผนธุรกิจรายปี เพื่อตอบสนองความคาดหวังของนักลงทุนที่มีต่อผลประกอบการของบริษัท จนอาจลืมที่จะให้ความสำคัญอย่างเพียงพอกับประเด็น Climate Change ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยมุมมองในระยะยาว เพราะ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอาจไม่ได้ปรากฏอย่างเด่นชัดในอนาคตอันใกล้

และนี่น่าจะเป็นสาเหตุว่าทำไม World Economic Forum จึงได้ริเริ่ม Climate Governance Initiative (CGI) ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คณะกรรมการบริษัททั่วโลกตระหนักและเร่งพัฒนาขีดศักยภาพของตนในการแสดงบทบาทเชิงรุกต่อปัญหา Climate Change ผ่านการกำกับดูแลกระบวนการพัฒนากลยุทธ์ การบริหารความเสี่ยง และการเปิดเผยข้อมูล ด้วยการเผยแพร่ Climate Governance Principles ซึ่งเป็นหลักการสำคัญรวมทั้งสิ้น 8 ข้อ เพื่อให้คณะกรรมการบริษัทนำไปประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมต่อไป

โปรดติดตามรายละเอียดของหลักการทั้ง 8 ข้อนี้ได้ใน Climate Governance: What Now (and What Next) for Directors? (Part 2) เร็วๆ นี้

 

อภิลาภ เผ่าภิญโญ
CG Supervisor – Research & Development
Thai Institute of Directors

ที่มา:
• Bringing Climate Change to The Composition and Structure of Boards of Directors, INSEAD Corporate Governance Centre, 2020
• Climate crisis requires boards to put climate transition at the heart of corporate strategy, says international network of board directors, Australian Institute of Company Directors (AICD), 2021
• How to Set Up Effective Climate Governance on Corporate Boards Guiding principles and questions, World Economic Forum, 2019
• Here’s How Climate Change Will Impact Businesses Everywhere – And What Can Be Done, Zurich, 2021

 

 

 



Articles Previous Next
 
ข้อกำหนดและเงื่อนไข | นโยบายความเป็นส่วนตัว | ผังเว็บไซต์ | Share to
Copyright © 2010 Thai Institute Of Directors. Site by Redlab
Our
Sponsors
SCBx BBL IVL Kbank BCP CPF GPSC IRPC PTT PTTEP PTTGC PTTOR SCG Singha TISCO TOP
Our
Partners
CAC SET SEC OECD CBNC CG Thailand